วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

แจแปน แดนอนิเมะ เจดีย์หิมะ อากิฮาบาระ ซากุระ ไซตามะสเตเดี้ยม


เนื่องจากเมื่อปีก่อน(2016) ทราบว่าฟุตบอลทีมชาติไทย ได้อยู่สายเดียวกับทีมชาติญี่ปุ่น
ในการแข่งขันรอบ 12 ทีม สุดท้ายก่อนไปฟุตบอลโลกที่รัสเซียในปี 2018
พอมีเพื่อนชวนไปเที่ยวญี่ปุ่น + ดูบอล ในทริปเดียวกัน ก็ตอบตกลงทันที
โดยไม่ทันคิดว่าจะไปกันยังไง (จะมีตังไปป่าวฟะ) ฮ่าๆๆ

เพราะอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นอยู่แล้ว ถ้าไม่ไปครั้งนี้ จะมีโอกาสได้ไปอีกรึเปล่าก็ไม่รู้
เอ้า! ไปกันนนนนน

แป๊บเดียวมาถึงแล้ว ^_^ (เปล่าหรอก ไม่ได้ถ่ายตอนก่อนออกเดินทางน่ะ)

บอกก่อนว่า ค่าใช้จ่ายแบบละเอียดยิบ หรือแบบรวมทั้งหมดเท่าไร อะไร ยังไง ไม่มีนะครับ
เพราะไม่ได้รวมไว้เนื่องจากขี้เกียจ ฮ่าๆๆ (จริงๆแล้วมีหลายอย่างที่แชร์ๆกัน หรือสลับกันจ่าย หรือคนนึงจ่ายก่อนอีกคนค่อยให้คืน
เลยขี้เกียจคำนวณละเอียด)

แต่จะมีบอกค่าใช้จ่ายหลักๆ ของแต่ละอย่างที่ใช้หรือเดินทาง ใครอยากทราบแบบละเอียดก็บวกกันเองเน้อ

รูปแบบก็เป็นแบบเล่าสู่กันฟัง(อ่าน) ไม่ได้รีวิวละเอียดยิบนะครับ การขอบพระคุณทุกท่านที่อ่านกันจ้า

ตัวอย่างตั๋วหลักๆ ในทริปนี้

ครั้งแรกที่ตัวผมได้ไปต่างประเทศ ก็ตั้งแต่ปี 2011 (6ปี มาแล้วอ่ะ) แถมไปกับบริษัทด้วย

อีกครั้งก็ไปฮ่องกง แม้จะเป็นแบบ Backpack แต่นั้นไปกับครอบครัว ซึ่งน้อง(หัวหน้าทริป)วางแผนไว้หมดแล้ว แค่ตามๆกันไป

แต่ทริปนี้ไปกันแบบ ชาย-ฉะ-กัน สองคน + เป็นการไปเที่ยวต่างประเทศกันเองครั้งแรกด้วย!!
ก็ต้องวางแผนกันนานพอสมควร ว่ามีอีเว้นท์อะไรเป็นหลักในทริปนี้บ้าง และใครอยากไปไหนหรือทำอะไร ก็ไลน์คุยกัน
แล้วมาหาข้อมูล เมื่อได้ข้อสรุปที่ลงตัว ก็โอเค
(จองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ เสร็จแล้ว โดยที่ตอนนั้นมีอีเว้นท์หลักแค่ดูบอล ญี่ปุ่น-ไทย ในวันที่ 28 มีนา 60 ฮ่าๆๆ)

เดินทางรอบดึก ไปถึงเช้า จะได้เที่ยวทันที


► 25 มีนาคม 2560 เดินทางด้วย Air Asia X 
ไฟล์ XJ600 ซึ่งออกเดินทาง 23.45น. (เวลาไทย) ไปถึงญี่ปุ่น 8.00น. (เวลาญี่ปุ่น)
แต่เดินทางจริงไปถึงตั้งแต่ยังไม่ 7 โมงเช้าเลยครับ

ผ่าน ตม. กับ ศุลกากร และรับกระเป๋าจากสายพานก็ประมาณ 8 โมงเช้าพอดี
อ่อ รอบนี้ได้ตั๋วเครื่องบินราคา 12,500 บาท รวมอาหาร,น้ำหนักโหลดกระเป๋า 20 กก.แล้ว และได้ที่นั่งโซนเงียบด้วย
(แต่ผู้โดยสารหลายท่านเปิดกระเป๋า,หยิบของในถุงกัน ก๊อปแก๊ปป๊อกแป๊กทั้งคืนเลย)

เนื่องจากทริปนี้จะอยู่ในโตเกียวเป็นหลัก จึงซื้อบัตรรถไฟฟ้าใต้ดินแบบ 72 ชั่วโมง ไว้ใช้ได้อย่างสะดวก
ที่สนามบินนาริตะ ก็ซื้อได้ที่ Counter Keisei Bus ที่ชั้น 1 โดยยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ด้วยนะครับตอนซื้อ

ซื้อตั๋วแล้วจ้า

จากนั้นก็เข้าเมืองกัน เราจองโรงแรมไว้แถวอาซากุสะ จึงเลือกเดินทางด้วยรถไฟ Keisei Access Express
เพราะราคาไม่แพง อีกทั้งใช้เวลาไม่นานด้วย ซื้อที่เค้าเตอร์สีน้ำเงินของรถไฟ Keisei ได้เลยครับ

ตอนแรกจะลองซื้อตั๋วเองจากเครื่องอัตโนมัติ แต่เห็นแล้วงงมาก ปุ่มราคา 1,290 เยน ก็หาไม่เจอ (จากสนามบินนาริตะ ไปอาซากุสะ ราคานี้)
ก็เลยต้องซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่ ง่ายกว่ากันเยอะครับ เพราะผมปริ๊นรายละเอียดของทริปนี้ไปด้วยครับ


ก่อนมาดูพยากรณ์อากาศ เขาว่าที่โตเกียวอุณหภูมิประมาณ 5-15 องศาเซลเซียส แต่ผมก็นึกไม่ออกว่ามันจะหนาวเย็นแค่ไหน
เพื่อนที่เคยไปมันส่งรูปตัวเองมาให้ดูแล้วบอกว่า ใส่ฮีทเทค+เสื้อนอก ชิลๆ สบายๆ
แต่พอมาถึงดันเจอฝนตกปรอยๆทั้งวัน แถมลมพัดอย่างแรง อะเฮื้อออออ!!!!  สบายบ้านคุณเพื่อนสิครับ หนาวชิหัย!!!

ฝนตก ลมพัดเบาๆ ไม่มีร่ม ใส่เสื้อกันหนาวในออฟฟิศมนุษย์เงินเดือน โรแมนติกสุดๆ

ทริปนี้เราพักกันที่ BUNKA HOSTEL TOKYO เป็นหลักครับ (สองคืน) เดินจากสถานีรถไฟใต้ดินอาซากุสะประมาณ 600 เมตร
อยู่แถวย่านการค้า ROX ใกล้ๆ McDonald กับร้านดองกี้ ถ้าเดินเข้ามาแล้วเจอย่านการค้าที่มีหลังคาโค้งๆ ก็ใช้เลยครับ

เป็นโฮสเทลที่จัดตำแหน่งเตียงนอนได้เป็นส่วนตัวมากๆ แม้จะมีแค่ม่านปิดก็ตาม แต่ละเตียงมีปลั๊กไฟให้ 2 ช่อง และหลอดไฟส่วนตัว

ล๊อบบี้จะเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ ขายอาหารเครื่องดึ่มถึง 3-4 ทุ่มนี่แหละ แต่สำหรับลูกค้าที่มาพัก มานั่งเล่นได้ตลอด 24 ชม. มีน้ำดื่มให้ฟรีด้วย
พนักงานก็พูดอังกฤษเก่งมากกกกก แบบว่าฟังแทบไม่ทัน เพราะผมเองภาษาก็อ่อนด้อย

ที่พักหลักของเราในทริปนี้
ที่นอนเหมือนจะเล็ก แต่เอากระเป๋าเดินทางใส่ไปด้วยก็ยังนอนได้สบาย

หัวเตียงมีไฟส่องสว่าง + ปลั๊ก 2 ช่อง ผมใช้ไม่พอเลยเอาปลั๊กพ่วงมาเอง

ห้องน้ำรวมแบบแยกชายหญิง
 โซนอ่างล้างหน้ากับห้องอาบน้ำ ก็สะอาดเอี่ยมอ่อง

► แดนอนิเมะ 
ยังไม่ถึงเวลาเช็ํคอิน ก็เลยฝากกระเป๋าไว้ก่อน แล้วไปอีเว้นท์แรกกัน Anime Japan 2017 ที่โอไดบะ!!!
อีเว้นท์นี้ตอนจองตั๋วเครื่องบิน ยังไม่รู้เลยว่ามี ฮ่าๆๆ
แต่เพื่อนผู้ประเสริฐ ก็หาข้อมูลมาได้ และจองตั๋วออนไลน์ผ่าน App เสร็จสรรพ เป็นคนดีจริงๆพ่อคุณ
(การจองตั๋วเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ชื่อ-นามสกุล ที่ลงทะเบียนก็ต้องอักษรญี่ปุ่นนะจ๊ะ)

วิธีไปก็ไม่ยาก เพราะเราศึกษาและจดไว้ก่อนแล้ว ว่าต้องไปรถไฟใต้ดินสายไหน สถานีไหน
ไปให้ถึงสถานี Shimbashi แล้วเดินออกมาบนดิน ไปขึ้นรถไฟลอยฟ้าสาย Yurikamome กันเลย
ขึ้นต้นสาย ผู้คนมากมาย ไม่หลงแน่นอน (ตั๋วเที่ยวเดียว 370 เยน, ไปกลับก็ 740 เยน , ซื้อตั๋วแบบวันดีกว่า เก็บไว้ดูเล่นได้ 820 เยน)

Tokyo Big Sight

Anime Japan 2017 จัดที่ศูนย์การแสดงใหญ่ยักษ์ Tokyo Big Sight
เสียดายที่วันไปฝนตกตลอด จึงไม่มีใครใส่ชุดคอสเพลย์นอกอาคารเลย
(แหง๋ละ หนาวจะตายชัก เปียกอีกตะหาก)
พอเข้าไปข้างใน โอ้โห! แถวคนซื้อตั๋วเข้างานยาวเหยียดดดด ดีนะที่เพื่อนผู้ประเสริฐจองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้ามาแล้ว

สุดท้ายตรงป้ายสีดำนั่นคือเค้าเตอร์ขายตั๋ว แล้วนี่คือแถวอันยาวเหยียดดดดดด

แต่พอจะเข้าโซนตัวงาน App ดันมีปัญหา คือเห็นรูปตั๋วแล้วล่ะว่าซื้อไว้ 2 ใบ แต่ดันกดไปต่อเพื่อดูรายละเอียดไม่ได้!!
เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วก็บอกกรุณารอสักครู่ แล้ววอ.เรียกเจ้าหน้าที่เทคนิคมาช่วยดูให้ ซึ่งก็เหมือนเดิม
วิธีแก้ไขคือ... เจ้าหน้าที่เทคนิค ให้เรากรอกข้อมูลใส่แบบฟอร์ม จากนั้นก็ให้ตั๋วแบบกระดาษมา 2 ใบ ใช้เข้างานได้เลย เย้!


งานใหญ่มากกกกกกกกกก มีตั้ง 8 ฮอลล์ อลังการงานสร้างจริงๆ
แต่เนื่องจากมีเวลาไม่มาก (มาถึงก็เที่ยงแล้ว แถมงานเปิดถึงห้าโมงเย็น แถมอีกทีว่าวันแรกที่เรามาถึง งานนี้จัดวันสุดท้ายพอดี)
จึงพุ่งไปที่ฮอลล์ 7 ซึ่งเป็นฮอลสำหรับประกวดคอสเพลย์กันก่อนเลย อิอิอิ

ไปถึงนะ โอโหหหหหหห!!!!!! ผู้คนมากมายแน่นขนัด แต่งกันสุดฤทธิ์สุดเดช สุดชีวิตสุดกู่ เป็นบุญตาจริงๆเลยตู
อาจเพราะฝนตก ทำให้ชาวคอสเพลย์ไม่มีพื้นที่กลางแจ้ง ทั้งหมดจึงต้องมารวมกันที่ฮอลล์นี้
(ในส่วนเวทีประกวด ต้องซื้อตั๋วแบบพิเศษนะจ๊ะ แต่ของเราตั๋วธรรมดา อดๆๆ)


เพื่อนผู้ประเสริฐ ถ่ายรูปสาวๆจนสาแก่ใจแล้ว ก็ออกมาเดินที่ฮอลล์อื่นบ้าง โดยใกล้ๆกันนั้นเป็น ฮอลล์ 8 (Family Hall)
เน้นการ์ตูนสำหรับเด็กเล็กและครอบครัว ไม่ใช่เป้าหมายของเรา เอ้า! ไปต่อสิครับ

เนื่องจากเวลามีน้อย และสถานที่จัดงานใหญ่มากกกกก จึงเดินได้แค่อีก 2 ฮอลล์ใกล้ๆกันคึอ ฮอลล์ 6 กับ 5 เท่านั้นเอง
(จริงๆแล้วในคู่มือที่ได้รับตอนเข้างาน มีบอกนะว่าฮอลล์ไหน มีบูธอะไรบ้าง แต่เราเน้นเดินสุ่มๆเอาเลย เพราะอ่านไม่ออก ฮ่าๆๆ)

เป็นงานแสดง ที่เน้นงานแสดงจริงๆ อนิเมะใหม่ๆ หรือสินค้าใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอนิเมะ จะแสดงโชว์ตัวอย่างให้น้ำลายหกกัน
มีเกมด้วยนิดหน่อย โดยงานนี้เน้นไปที่ Fate/Grand Order , สินค้าที่ระลึกหรือฟิกเกอร์ต่างๆ ก็มีจำหน่ายกันนะ

เหล่าเลเยอร์มากมายในฮอลล์7

เข้าฮอลล์6 มาปุ๊บก็เจอนิทรรศการของคุณชินไค มาโกโตะ
เจอตัวซวยอย่างเป้ง ในงานจะเกิดอะไรขึ้นไหมหนอ
โปรโมทหนังโรงภาคใหม่ของหุ่นเหล็กในตำนาน
บูทแว่น ปัจจุบันนอกจากสาวกเลือดเหล็กแล้ว ยังดึงดูดหนุ่มๆสาวๆได้เพียบ
ฟิกเกอร์, โมเดล, เน็นดรอยด์, ของที่ระลึกต่างๆ มีทั้งโชว์ทั้งขาย
Fate/Grand Order VR สำหรับทดลองเล่น บูธใหญ่มากกกก
ไททันกับสาวๆ (แล้วข้างหลังนั่นตัวอะไร?)


อยู่จนใกล้งานเลิกก็กลับไปเช็คอินที่โฮสเทล เก็บกระเป๋า ล้างหน้าล้างตา แล้วหามื้อเย็นกินกัน
เป็นร้านราเม็งใกล้ที่พัก มีพนักงานเสิร์ฟคนเดียว ทั้งเสิร์ฟอาหาร,เช็ดโต๊ะ,เก็บจาน,คิดเงิน
ทานเสร็จร้านก็ปิดพอดี

ราเม็งน้ำข้นซุปกระดูกหมู เมนูแนะนำของร้าน

โชยุราเม็ง กลมกล่อม ไม่เค็ม อร่อยกำลังดี

เกี๊ยวซ่ามาในเซ็ทโชยุราเม็ง

จากนั้นก็ไปวัดอาซากุสะ (Sensō-ji Temple) ตอนค่ำๆ ฝนก็ยังตก และลมพัดแบบหนาวมาก ปากชาไปหมด
ร้านค้าระหว่างทางไปวัดปิดเกือบหมด ถ้าไม่ได้ร่มใส 500 เยน เดินไปไม่ถึงวัดแน่ๆ เพราะฝนตกไม่บันยะบันยังเลย

วัดอาซากุสะ ตอนค่ำที่ฝนโปรยและผู้คนน้อยนิด ก็สวยงามได้บรรยากาศไปอีกแบบ
แต่อยู่นานไม่ไหวขอรับ หนาวเกินจะทน ด้วยลองจอน+เสื้อยืด+เสื้อกันหนาวขนๆธรรมดา ผมจะตายแล้วววว

ระหว่างทางเดินไปวัด ร้านค้าปิดเกือบหมด

วัดอาซากุสะ (Sensō-ji Temple) ยามค่ำคืนที่มีฝนโปรย

โคมไฟยามค่ำคืน สวยงามมาก
อ่อ เจอชาวต่างชาติ วางกล้องบนขาตั้งเรียบร้อย แล้วเดินมาพูดเหมือนให้ช่วยอะไรสักอย่าง
แต่แล้วเขาก็บอก “ซอรี่ ไอแค้นสปี๊คอิงลีช”
เราก็มองหน้ากันแล้วพูดว่า เค้าจะให้ช่วยถ่ายรูปให้ป่าววะ? ก็เลยเดินไปถามว่าจะ “เทค โฟโต้?” ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ

ด้วยความที่หนาวมาก เลยเดินกลับไปอาบน้ำนอนดีกว่า แต่ก็ยังสงสัยและติดใจอยู่ว่า
ชาวต่างชาติสองท่านนี้ จะบรรลุเป้าหมายรึเปล่าหนอ?

-----------------------------------------------------------------------------

► ทริปวันที่สอง 27 มีนาคม 2560 

>> ชมเจดีย์หิมะ <<

ทริปเช้าวันนี้ผมเป็นคนรีเควสต์ ไหนๆก็ได้ไปญี่ปุ่นแล้ว ประกอบกับเห็นกระทู้แนะนำวิธีเดินทางในเว็บพันทิป
เลยขอไปดูฟูจิซังซะหน่อย แต่เวลามีน้อย เลยเลือกไปที่เจดีย์แดง Chureito Pagoda เพื่อดูฟูจิซังก็พอ

ตอนแรกจะจองตั๋วล่วงหน้าแบบจองที่นั่งด้วย แต่เพื่อนอีกคนบอกว่า เอ็งขึ้นรถไฟตั้งแต่ต้นทาง มีที่นั่งอยู่แล้ว ไม่ต้องจองหรอก
เออ... ก็จริงแฮะ ประหยัดไปได้ตั้งหลายตังค์

ว่าแล้วก็แหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตีห้า (เวลาไทยก็ตีสามเองงงง) อาบน้ำแต่งตัว ใส่ทั้งลองจอน, ฮีทเทค, เสื้อแขนยาว, เสื้อกันหนาว(เท่าที่มี)
ลุยกันเลยยยยย
Feel Like 0 องศาเซลเซียส!!
เดี๋ยวๆ แวะร้านสะดวกซื้อ หาข้าวปั้นกับน้ำดื่มเป็นมื้อเช้าไว้กินในรถไฟก่อน ฮ่าๆๆ
ตั๋วรถไฟ Super Azusa1 ใบนึงเป็นค่าตั๋วแบบไม่จองที่นั่ง อีกใบเป็นค่าธรรมเนียม
ขึ้นต้นสายก็ดีมีที่นั่ง ไม่ต้องซื้อตั๋วแบบจองที่นั่งให้เปลืองเงิน
ไปถึงสถานีชินจูกุ ดูนาฬิกาแล้วหันไปถามเพื่อน จะทันรถไฟรอบ 7 โมง ป่ะวะ?
เพื่อนตอบ “ทันเด้” , อ่ะ... ทันเด้ ทันเด้ ก็รีบซื้อตั๋วเด้ ว่าแล้วก็บอกเจ้าหน้าที่ขายตั๋วว่าไป “Otsuki, two tickets”
เจ้าหน้าที่ถามกลับว่าจะจองที่นั่งมั้ย พร้อมมีป้ายโตๆ โชว์ให้ดูว่า Reserved / Non-Reserved
ผมรีบจิ้มไปที่ Non-Reserved ทันที เพื่อประหยัดตังในกระเป๋า อิอิ
พอจ่ายตังค์ ได้ตั๋วแล้ว ก่อนไปก็ถามเจ้าหน้าที่เพื่อความชัวร์ ว่ารถไฟขบวนนี้มันอยู่รางไหน พอได้คำตอบว่า “ราง 10” ก็วิ่งสิครับ

วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง , วิ่ง ไป ไป ไป ไป
เจอแล้วเว้ยยย ราง 10 ไปๆๆๆๆ อ้าว! ตู้นี้มันตู้เขียว (Green Car - ตู้พิเศษ) นี่หว่า

วิ่งอีก วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง , วิ่งไป มองตู้รถไฟไป
ตู้เขียว , ตู้จองที่นั่ง, ตู้จองที่นั่ง, ตู้จองที่นั่ง, ตู้ไม่ได้จองที่นั่ง Non-Reserved เจอแล้วเว้ยยยยยย

แหกบากบอกเพื่อนแล้วรีบโดดขึ้นรถไฟอย่างไวว่อง
สายตามองหาที่นั่ง มีที่ว่างแต่ไม่ได้นั่งคู่กัน เอาวะ! นั่งติดกันแบบเพื่อนนั่งอยู่หน้าผม ก็โอเคแล้ว

พอได้ที่นั่งปุ๊บ อีกไม่เกิน 3 นาที รถไฟออกจ้า เจ็ดนาฬิกา ตรงเป๊ะ (เกือบตกรถไฟซะแล้วววว)

รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ วิวข้างทางแลดูหนาวขึ้นเรื่อยๆ
อากาศแบบนี้ กรุณาย้อนไปดูรูปข้าพเจ้าตอนซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินว่าใส่เสื้อกันหนาวแบบใด
เห็นพี่คนข้างๆ รับประทานมื้อเช้าบนรถไฟ กระผมก็รับประทานข้าวปั้นบ้าง + Red Bull Extra Non-Sugar เป็นมื้อเช้า
( Red Bull Extra Non-Sugar ไม่อร่อยเลย ฮ่าๆๆ)

ยิ่งรถไฟแล่นไปไกลเท่าไหร่ วิวด้านนอกยิ่งเผยความหนาวเย็นมากขึ้นเท่านั้น หิมะปกคลุมไปทั่วบริเวณ 
แม้จะไม่หนามากนัก แต่ด้วยการที่ชุดของเราแลดูจะไม่ได้กันความหนาวขนาดนี้ได้เลย ยิ่งทำให้ในใจมันหนาวไปก่อนซะแล้ว

Red Bull Extra แบบไม่มีน้ำตาล ไม่อร่อยเลย >.<
สถานีเล็กๆแบบนี้ เช้าตรู่ไม่มีผู้โดยสารสักคน
จักรยานที่จอดกันไว้ น้ำแข็งเกาะเลยทีเดียว
แค่เห็นก็หนาวแล้ววววว
ถึงสถานี Otsuki มีเวลาถ่ายรูปบรรยากาศนิดหน่อย ก็ไปต่อแถวนักท่องเที่ยวที่รอซื้อตั๋วเพื่อไปต่อกัน
เป้าหมายของเราคือ เจดีย์แดง Chureito Pagoda อยู่ที่สถานี Shimoyoshida ค่าตั๋วรถไฟ Fujikyu ก็ 960 เยน

หิมะยังมีมากมายให้หนาวใจหนาวกาย แถมพอถึงสถานี Shimoyoshida ก็มีผู้โดยสารที่ลงคือ
ผมกับเพื่อน, หนุ่มนักธุรกิจ, ลุงที่ยังดูใจดีและแข็งแรง
ลงกันแค่ 4 คน!!! หนาวดึ๋งไปกันใหญ่

แต่ยังมีเรื่องให้ใจอุ่นขึ้นมา คือ ลุงที่ลงรถไฟมาด้วย หยิบแว่นที่เพื่อนผมทำหล่นไปเมื่อไรไม่รู้มาให้ ก็แต้งกิ้ว โค้งๆให้ลุงผู้ใจดีที่ลงมาชมวิว

แล้วเจ้าหน้าที่สถานี ที่เป็นพี่ผู้หญิงวัยกลางคน ก็ใจดีมีบอกทางว่าจะไปเจดีย์แดง ต้องเดินไปทางนี้ๆๆๆนะ
แม้พี่เขาจะพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ก็ตาม ^_^

ป้ายสถานี มีภาษาไทยด้วย
สถานีไม่ใหญ่ มีพี่ผู้หญิงเป็นเจ้าหน้าที่อยู่คนเดียว
มองไปทางไหนก็มีหิมะละลานตา
มีมุมพิพิธภัณฑ์รถไฟเล็กๆ อยู่หน้าสถานี น่ารักมั้ยล่ะ
บนนั้นล่ะ ที่เราจะเดินขึ้นไป ไป ไป ไป
ทางเดินขึ้นไปหาเจดีย์แดง เต็มไปด้วยหิมะที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง ซึ่งบางส่วนละลายกลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆแล้ว
ด้วยขนาดบันไดที่ค่อนข้างเล็ก จึงต้องระมัดระวังในการเดินเป็นอย่างมาก

ไฮไลท์ช่วงเดินมันอยู่ที่ เราไม่คิดว่าจะเจอหิมะ จึงใส่รองเท้ารองเท้าผ้าใบ, ร้องเท้าวิ่งมาคร้าบบบ

ย่ำไปในแอ่งน้ำที่เกิดจากหิมะละลายแต่ละที ทรีนเย็นเจี๊ยบบบบบ!!!!!


ในที่สุด ก็มาถึงแล้ววววววว
เจดีย์แดง Chureito Pagoda ที่ปกคลุมด้วยหิมะ สวยงามมากกกกก
ยิ่งระหว่างชื่นชมความงดงามอยู่นั้น หิมะก็ตกมาเบาๆแบบปุยนุ่น ยิ่งทำให้ความสวยงามเพิ่มขึั้นเป็นทวีคูณ


ตั้งกล้องไว้แล้วรีบเดินมาถ่าย มีป้าๆคอยลุ้นว่าจะทันมั้ย (แต่ป้าไม่หลบให้เลยอ่ะ)
แม้ว่าฟ้าจะปิด ไม่เห็นฟูจิซัง แต่เจอบรรยากาศแบบนี้ ผมว่าคุ้มมากๆ
คิดแง่บวกอีกแบบว่า วิวที่เห็นฟูจิซัง มีคนรีวิวเยอะแล้ว เราไปอ่านๆ ดูๆ เอาตามเว็บไซต์ต่างๆก็ได้
แต่แบบหิมะกำลังตกลงมาใส่เราเหมือนในหนังโรแมนติกนี่ น่าจะหายากที่เจอโอกาสแบบนี้

มองไม่เห็นฟูจิซังเลย

บนนี้หิมะปกคลุมไปทั่ว

เมืองในหิมะ งามแต้ๆ แลกกับการไม่ได้เห็นฟูจิซัง

จากที่คิดว่าจะกลับรถไฟรอบสิบโมงกว่า กลายเป็นอยู่นานขึ้นชื่นชมความงามบริเวณนี้อีกประมาณชั่วโมงนึง
พอต่อรถที่สถานี Otsuki เพื่อกลับไปชินจูกุ เพื่อนผู้ประเสริฐก็ดันบอกเจ้าหน้าที่ว่า เอาตั๋วแบบ “Local”
โอ้โห! หวานเย็นสุดๆ จอดทุกสถานี

ก่อนกลับลองดูอุณหภูมิซิ 1 องศา เองงง
ด้วยความง่วง ขากลับผมจึงหลับบนรถ แต่จู่ๆรถไฟดันจอดนิ่งที่สถานีนึง เราจึงงงกัน ยังไงวะนี่

เพื่อนบอก : มันต้องเปลี่ยนขบวนรถป่าววะ กลุ่มคนที่มาด้วยกัน ลงจากรถกันหมดแล้วนะ
ผมบอก : ไม่มีไรมั้ง มีคนขึ้นรถกันเยอะแล้วนา มันคงจอดรอเฉยๆ
เพื่อนบอก : ตูว่ามันต้องเปลี่ยนรถแน่ๆ ออกเถอะว่ะ

ตั้งสติ กระโดดออกนอกตัวรถ แล้วมองไปรอบตัว ดูป้ายที่หัวขบวนรถไฟ, ดูชื่อสถานี
เออว่ะ! รถโลคอล ขบวนนี้มันจอดแค่สถานีนี้จริงด้วย!! แล้วย้อนกลับไปที่เดิม!!!

ว่าแล้วก็รอรถไฟขบวนที่ป้ายตรงหัวรถบอกว่า “ไปชินจูกุ” แฮ่~ รอดแล้วเรา ^_^

กลับที่พัก ล้างหน้าล้างตา ล้างเท้าเปลี่ยนถุงเท้า และเติมพลังด้วยมื้อเที่ยงที่กินตอนสามสี่โมงเย็น
จากนั้นก็ไปตะลุยแดนมหัศจรรย์ 
รถโลคอล จอดสถานีนี้นะ ดูให้ดีล่ะ

► เที่ยวอากิฮาบาระ ◄
แดนมหัศจรรย์ อากิฮาบาระ (อากิบะ)
จากที่พัก เดินไปสถานีรถไฟใต้ดินได้ 2 สถานี ในระยะทางพอๆกัน คือ Asakusa กับ Tawaramachi
ส่วนใหญ่เราจะไปที่สถานี Tawaramachi เพราะเดินไปง่ายกว่าในความรู้สึกอ่ะนะ
ลงรถไฟใต้ดินสาย Ginza (G) ไปที่สถานี Suehirocho (G14) แล้วเดินมาที่อากิบะได้เลย

เป้าหมายแรกคือ amiami shop ที่อยู่ใจกลางอากิบะ

ชั้น3 จะเป็นสินค้าของทานร้าน ส่วนชั้น4 จะเป็นของมือสอง
เวลามีน้อย ต้องรีบไปหาน้องด๋อย (เน็นดรอยด์ หรือโมเดลประเภทตัวเล็กหัวโต ^_^ )
เป้าหมายหลักที่จะไปกันคือ Amiami Shop และ Good Smile Cafe ซึ่งทั้งสองร้านนี้อยู่ห่างกันแค่ 2 ช่วงตึกเอง ^_^
Amiami Shop มีสองชั้น ชั้น 3 คือสินค้ามือหนึ่ง สินค้าใหม่, ชั้น 4 คือสินค้ามือสอง
โดยรวมๆแล้วมีให้เลือกไม่เยอะนัก ดูจากเว็บหลักยังมีสินค้ามากกว่าอีก

เป้าหมายต่อไปอยู่ในตึก Akiba Cultures Zone

เมนูของยิ้มดีคาเฟ่ ตอนที่ไปเป็นธีม Little Witch Academia
ตู้ไข่กาชาปอง มีมากมาย ถ้าไขทุกตู้ต้องหมดตัวแน่ๆ
Good Smile Cafe อยู่ที่ชั้น 5 ของตึก Akiba Culture เป็นมุมเล็กๆ เปลี่ยนธีมไปเรื่อยๆ
ช่วงที่เราไปเป็นธีมของ little witch academia ซึ่งไม่เคยดู เลยไม่ได้เข้าไปในร้าน ฮ่าๆๆ

จากนั้นก็เดินเรื่อยเปื่อย ได้อะไรติดไม้ติดมือมานิดหน่อย ไขกาชาปองนิดๆ เล่นเครนเกมคนละครั้ง
แล้วก็แวะตึกดำอันแข็งแกร่งอย่าง Mandarake แต่ก็ไม่ได้เกมมือสองกลับมาสักแผ่น >.<

พี่ชายฝากซื้อเครื่องแฟมิคอมรุ่นที่ทำขายใหม่แบบมินิ แต่ไม่ได้เข้าไปที่ตึก Yodobashi  เลยหาไม่เจอ ไม่รู้ในนั้นมีไหม

จบทริปวันที่สองด้วยรูปอากิบะตอนกลางคืนจ้าาาาา

-----------------------------------------------------------------------------

► ทริปวันที่สาม 28 มีนาคม 2560 ◄

เช้านี้ไม่รีบ แต่ต้องเก็บกระเป๋าเช็คเอ้าท์เลย เพราะพรุ่งนี้ต้องกลับไฟล์เช้า กลัวไปสนามบินไม่ทัน เลยจะไปนอนที่โรงแรมแถวสนามบินนาริตะ
อาบน้ำแต่งตัวเช็คเอ้าท์เรียบร้อย ก็เอากระเป๋าไปฝากที่ตู้หยอดเหรียญในสถานี Keisei Ueno เพราะเราจะมาขึ้นรถไฟในสนามบินที่นี่ล่ะ

>> ชมซากุระ <<
แม้ปีนี้จะหนาวนานกว่าที่คาดไว้ แต่ที่สวนสาธารณะอุเอโนะ ก็ยังมีผู้คนมาชื่นชมความงามของซากุระกันอย่างเนืองแน่น
ซากุระที่นี่ บานแค่บางต้นบางโซนเท่านั้น (บางโซนยังเป็นดอกตูมอยู่เลย) แต่ไหนๆมาแล้ว ก็ลองเข้าไปดูซะหน่อย ป่ะ!


ให้ภาพเล่าถึงความงามของซากุระแล้วกัน ต้องขออภัยที่ฝีมือถ่ายภาพไม่ดีนัก แต่การได้มายลด้วยตาตนเอง ทำให้เข้าใจได้ว่า
ทำไมผู้คนทั่วแดนดินถึงหลงไหนในความงามของดอกซากุระกันนัก


 ร้านค้าข้างทางในบริเวณต่างๆ ที่จัดไว้ให้คลายงานวัดบ้านเรา ทำให้รู้สึกถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นดีจริง

ร้านค้าจะอยู่รวมกันในบริเวณที่กำหนดภายในสวน

บริเวณนี้คนเยอะมาก ซื้อแล้วก็ยืนทานหน้าร้านนั้น หรือนั่งที่โต๊ะที่จัดไว้ให้ได้เลย

ได้ทาโกะยากิ 1 กล่อง 500 เยน ชิ้นหมึกโตเต็มคำ แต่รสชาติไม่เข้มข้นเท่าที่ไทย
ชมซากุระจนพอใจ ก็ได้เวลาไปดินแดนศักดิ์สิทธิ อากิฮาบาระ กันอีกรอบ
ไปทำไมน่ะหรือ? หึหึหึ ก็ไปชมตึกเขียวตามเสียงร่ำลือ ว่ามีอะไรที่อื้อหือ! อ้าหา! จริงดั่งเขาว่ากันหรือเปล่า?

ด้านในมีอะไรบ้างก็ไม่รู้ :p
แหม... แค่แวะมาดูแป๊บเดียวเอง อิอิอิ
เป้าหมายหลักของรอบนี้จริงๆคือ ตึกวัว Mansei อยู่แถวอากิบะนี่แหละ ทั้งตึกเน้นอาหารที่ทำจากเนื้อวัวเป็นหลัก
โดยชั้น 1 จะเป็นของฝากกลับบ้าน ส่วนชั้นอื่นๆก็เป็นร้านอาหารหลากหลายสไตล์ ไปจนถึงชั้น 10
จะบอกว่า ยิ่งสูง ยิ่งแพงงงงง ทำให้เราเข้าไปชิมแค่ชั้น 2 สเต็กเฮ้าส์ ก็พอแล้วววว (ไม่งั้นกระเป๋าฉีกแน่)

ตึกนี้สิ เป้าหมายที่แท้จริง
ก่อนขึ้นลิฟท์ จะมีป้ายบอกว่าแต่ละชั้น เป็นร้านอาหารประเภทใด
สั่งสเต็กเนื้อวากิวกันคนละเซ็ท พนักงานบริการดีมากกกก โดยจะถามก่อนว่า ในเซ็ทนี้ท่านจะรับออร์เดิร์ฟเป็นอะไร
ขนมปัง (เลือกได้ว่าจะเป็นขนมปังกับอะไรสักอย่าง ผมกับเพื่อนฟังที่พนักงานพูดไม่ออกจริงๆ รูปก็ไม่มีให้ดู)
สลัดราดน้ำแบบไหน (ญี่ปุ่น, อิตาเลี่ยน, แล้วก็อะไรอีกสักอย่างจำไม่ได้ ขออภัย)
เครื่องดื่มรับเป็นชาหรือกาแฟ (มีน้ำเปล่าให้ในเซ็ทด้วยอยู่แล้ว)

เรามาที่ชั้น2 (ตามงบประมาณ) Steak House

ขนมปัง ที่ฟังพนักงานเสิร์ฟถามแล้วแปลไม่ออก ก็อร่อยดีนะ

สลัดในเซ็ท มาเป็นออร์เดิร์ฟ
สเต๊กเนื้อวากิว เห็นแล้วน้ำลายไหล

ค่าเสียหาย เซ็ทละ 5,500 เยน (คืนนี้จะไม่ปลดทุกข์เลย ฮ่าๆ)
เพื่อนผมบอกว่า อร่อยมากกกกกก สุดๆไปเลยยยย
ส่วนตัวผมคิดว่าเนื้อนุ่มดีจริง แต่เค็มเกินไป ต้องราดน้ำซอสที่ให้มาด้วยจึงจะโอเค แต่ก็ถือว่าเนื้อชั้นดี และเครื่องเคียงอร่อยจริง
โดนไปคนละ 5,500 เยน สบายกระเป๋ากันไปจ้า

>> ไปไซตามะสเตเดี้ยม <<
กว่าจะมาถึงภารกิจหลักที่มาญี่ปุ่นคราวนี้ เชียร์บอลไทยแข่งกับญี่ปุ่น ในการแข่งรอบ 12 ทีมสุดท้าย ก่อนไปฟุตบอลโลกที่รัสเซียในปีหน้า
Go To Saitama Stadium กันเลยยยยย


แม้จะมีหวังไม่มากนัก ที่จะชนะทีมชาติญี่ปุ่นในบ้านของเขาเอง แต่เราคนไทยยังไงก็เชียร์จ้า
ฟุตบอลเริ่มเตะตอน 1 ทุ่มครึ่ง แต่ขอเผื่อเวลาไว้หน่อย

หลังจากอิ่มอร่อยกับสเต็กเนื้อวากิวแล้ว ก็นั่งรถไฟใต้ดินจากอากิฮาบาระ (H15) ไปเปลี่ยนสถานีไหนก็ได้ให้เป็นสาย Namboku (N)
เพื่อไปสถานี Akabane-iwabuchi (N19) แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสายไซตามะ (Saitama Railway Line – SR) 
จุดหมายของเราคือสถานี Urawa-Misono

ซึ่งตรงนี้ มีหลายคนที่ไม่เปลี่ยนขบวนรถด้วย เพราะรถจะแล่นต่อไปได้เลย
(เปลี่ยนชื่อจากรถไฟใต้ดินโตเกียว เป็นรถไฟสายไซตามะ แต่ยังเป็นขบวนเดิม)
แต่ผมไม่รู้ว่าต้องใช้ตั๋วอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า เพราะผมกับเพื่อนมีแค่ตั๋ว Tokyo Subway 72 hrs. แต่มันต้องเปลี่ยนเป็นสาย SR นี่นา
ก็เลยลงจากรถแล้วซื้อตั๋วใหม่ (กลัวถึงปลายทางแล้วออกไม่ได้ ฮ่าๆๆ)

** ขอบคุณกระทู้รีวิวการเดินทางไปไซตามะสเตเดียม จากกระทู้ในพันทิปด้วยครับ **

เปลี่ยนจากสาย N ของรถไฟฟ้าใต้ดินโตเกียว เป็นสาย SR

ใช้เลขเดียวกัน ทำให้ไม่งง รถไฟฟ้าก็แล่นต่อเนื่องไปเลย

มาถึงสถานีปลายทาง Urawa-Misono มีร้านขายของที่ระลึกตั้งแต่บนสถานีเลย

มีแต่ของทีมเจ้าบ้าน(ก็แหง๋สิ)

ไปสนามกันดีกว่า ที่ทางออก2 มีป้ายตลอดไม่ต้องกลัวหลง
เมื่อมาถึงสถานีจุดหมายคือ Urawa-Misono บรรยากาศก็คึกคักขึ้นมาทันตาเห็น มีร้านขายเสื้อ, ขายของที่ระลึกต่างๆมากมาย ที่สถานีนี้เลย
ไม่ต้องกลัวหลง เดินตามฝูงชนไปเลยครับ ระยะทางก็ประมาณ 1 กิโลเมตร เดินเรื่อยๆ 
ชมบรรยากาศข้างทางที่ปลุกใจชาวอาทิตย์อุทัยเป็นอย่างมาก

มีเปิดเพลงตลอดสองข้างทาง, มีร้านขายอาหาร-เครื่องดื่ม, มีป้ายผ้ารูปนักเตะทีมชาติญี่ปุ่นไซส์จัมโบ้ทั้งทีม เรียงยาวไปจนถึงบริเวณสนามเลย
ทำเอาคนไทยอย่างเราใจฝ่อลงได้เลยนะครับ พี่ท่านเล่นปลุกใจทีมตัวเองกันซะขนาดนั้น

SAMURAI BLUE

ภาพนักเตะซามูไรบลู ขนาดใหญ่ ตลอดทางเดินไปสนาม
เจอกองเชียร์ไทย ที่มากับเครื่องดื่มสปอนเซอร์ด้วยล่ะ
ระหว่างเดินไปสนาม เจอคนไทยกลุ่มใหญ่!! กำลังถ่ายรูปกัน!!! มากับเครื่องดื่มสปอนเซอร์นี่เอง
ทำให้มีกำลังใจขึ้นเยอะ มีกองเชียร์มากันแล้วเว้ยยยย ฮ่าๆๆๆ

รอบๆสนาม มีบูธขายสินค้าที่ระลึกเพียบ แต่ๆๆๆ ไม่เจอสินค้าเกี่ยวกับทีมชาติไทยเลยๆๆๆ
อยากได้ผ้าพันคอที่ด้านนึงเป็นลายทีมชาติญี่ปุ่น อีกด้านเป็นลายทีมชาติไทย ไม่เจอเลย ไรว้าาาา 

บอลเตะทุ่มครึ่ง มาถึงยังไม่บ่ายสามโมง คนก็เยอะแล้วครับ

มีร้านขายของที่ระลึก กับบูธกิจกรรมมากมาย

คนเต็มเลย จะหาท้ายแถวเจอไหมเนี่ยะ
เรามาถึงรอบๆสนาม ประมาณสามโมงเย็น แต่ผู้คนก็มาเข้าแถวรอเข้าสนามกันเยอะมากกกกกแล้ว
แถวยาวเหยียด จะต้องเข้าทางไหนยังไง ไหนหางแถวก็ไม่รู้ เลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่

เอาตั๋วให้เจ้าหน้าที่ดูแล้วบอกว่าเป็นกองเชียร์ไทยนะ แม้เจ้าหน้าที่จะพูดภาษาอังกฤษตอบกลับไม่ได้ 
แต่เค้าก็เข้าใจและพาเดินไปยังบริเวณประตูทางเข้าของตั๋วเรา แล้วบอกว่าแถวนี้นะ 
ก็ขอบพระคุณรุนช่อง แต้งกิ้ว อาริกาโตะ โอ้โห!แถวยาวเฟื้อยยยย เดินไปเจอหางแถวจนได้ (มีเจ้าหน้าที่ชูป้ายบอก)

รอๆๆ ค่อยๆกะดึ๊บๆ ระหว่างคืบคลานไปก็เห็นกองเชียร์ไทยรวมกลุ่มกันซ้อมเชียร์อยู่ลิบๆ เลยแอบถ่ายรูปมาหน่อย

ซ้อมเชียร์กันเต็มที่ (เห็นธงไตรรงค์ลิบๆนั่นไหมจ๊ะ)
มวลมหาประชาเชียร์ ที่เข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ

เพิ่งเห็นชื่อ "ทีมชาติไทย" ก็จากป้ายนี้แหละ น้ำตาจิไหล
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ในการต่อแถว กะดึ๊บๆ ผ่านประตูหน้าที่เป็นบริเวณตรวจตั๋วและกระเป๋า เข้ามาด้านในได้แล้ววววว 
(น้ำดื่มเป็นขวดนำเข้าได้แต่ต้องเปิดฝาและทิ้งฝาไว้ด้านนอกจ้า)
ถ่ายรูปด้านนอกพอหอมปากหอมคอ ก็เข้าไปด้านในกันเถอะ เดี๋ยวๆ แวะเข้าห้องน้ำก่อนให้เรียบร้อยสิคร้าบบบ 
จะได้ชมฟุตบอลกันอย่างสบายกาย

มีอาหาร, เครื่องดื่ม และของที่ระลึกขาย แต่ไม่ได้เดินดู เพราะจะรีบไปหาที่นั่งเหมาะๆ (ตั๋วไม่ได้ระบุที่นั่งครับ)
เดินหาประตูทางเข้าตัวสนามได้ละก็เข้าไปกันเลย โอ้โห!! บรรยากาศเยี่ยมจริงๆ (ปกติผมไม่ได้เข้าชมฟุตบอลในสนามเลย)
เนื่องจากเวลาจำกัด ไม่ได้อยู่ดูจนจบแน่ๆ เลยหาที่นั่งที่เดินออกง่ายๆ ก็ได้ที่นั่งตรงมุม-ด้านบนช่องประตูทางเข้านั่นแล 
สบายล่ะ ไม่มีใครบังด้วย ^_^

ผ่านจุดตรวจตั๋วมาได้แล้ว เข้าไปในสนามกันเลยครับ

ทางเข้าของชาวเชียร์ไทยจ้า

หาที่นั่งที่เดินออกง่ายๆ เพราะต้องออกจากสนามก่อนบอลแข่งจบ
ระหว่างรอเริ่มการแข่งขัน ฝนก็ดันตกลงมาปรอยๆ แถมลมพัดมาอีก หนาวสุดขั้วหัวใจ 
พอๆกับตอนเดินฝ่าฝนไปที่วัดอาซากุสะเลยครับ
ถุงมือ 29 บาท ที่ซื้อจากโลตัส ก็ช่วยอะไรไม่ได้ (ดันงก ไม่ยอมซื้อถุงมือกันหนาวดีๆเองนี่หว่า)
โชคดีที่ฝนมาแป๊บเดียวแล้วก็จากไป กองเชียร์ทั้งสองทีมก็ทยอยกันเข้ามาจนเต็มความจุเลยทีเดียว

บรรยากาศสุดยอดมาก ทั้งธง ทั้งป้ายเชียร์ เพียบ
นักเตะลงมาซ้อมกัน กองเชียร์ก็เฮกัน ปรบมือให้กำลังใจ ให้ฮึกเฮิม ไทยแลนด์ สู้สู้

บรรยากาศสุดยอดมาก
เรามาเชียร์ เชียร์ เชียร์

คุณอาคนนี้ ชูผ้าเด่นมาก อยากได้อ่ะ ไม่เห็นมีขายเลย สงสัยทำมาเอง

นักกีฬา วอร์มอัพและทักทายกองเชียร์ ^_^
เพื่อนซูมถ่ายให้ เห็นใครบ้างเอ่ย

รายชื่อนักกีฬา พี่โฆษกประกาศรายชื่อทีมเยือนแบบสุภาพมาก แต่ทีมตัวเองเสียงดังข่มซ้าาา
เริ่มแข่งแล้ววววว ทีมไทยเป็นฝ่ายตั้งรับซะส่วนมาก ได้บุกบ้างบางจังหวะ แต่ยังจ่ายบอลกันไม่แม่น ทำให้บุกได้แป๊บเดียวก็ต้องมาตั้งรับอีก

และแล้วก็โดนจนได้ ชินจิ คากาวะ ล็อคหนึ่งจังหวะ แล้วซัดด้วยขวา ผ่านกองหลังไทยสองคนที่พยายามเข้าสกัด 
และผ่านกวินที่ยังไม่ทันได้บิน เข้าไปได้อย่างง่ายดาย
ญี่ปุ่นนำไทย 1-0 โดยใช้เวลาเพียง 8 นาที เท่านั้น T_T





เขี่ยบอลจากกลางสนามกันใหม่ ทีมไทยก็ยังเป็นรองเหมือนเดิม แต่เราก็ยังเชียร์กันต่อไป
ดูนาฬิกาไปด้วย เพราะต้องออกจากสนามไม่เกิน 2 ทุ่ม 
เดี๋ยวจะไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้ายที่ออกจากอุเอโนะ ไปสนามบินนาริตะ (Access Express)

แต่แล้ว ฝัน มันก็สลาย ไปใน พริบตา
เมื่อด้านขวาเปิดบอลเข้ามา
โอคาซากิ โฉบโหม่งเข้าไป




สองทุ่มพอดี รีบเก็บกล้องแล้ววิ่งกลับกัน เดี๋ยวจะไม่ทันรถไฟไปสนามบิน
ถามเจ้าหน้าที่ว่าทางออกอยู่ไหน เจ้าหน้าที่งงๆ บอลเตะยังไม่จบครึ่งแรกจะกลับกันแล้วเรอะ?
เลยบอกว่ารีบคร้าบบบ เดี๋ยวไปสนามบินไม่ทันนนน เจ้าหน้าที่ก็เปิดประตูรั้วให้ อาริงาโตะโกไซมัสสสสส

รีบวิ่งรีบเดินกัน ระหว่างทางก็ยังมีกองเชียร์เดินทางมากันเรื่อยๆ แต่เราเดินสวนทางชาวบ้าน แปลกไปอีกแบบ
ไปถึงสถานี รีบซื้อตั๋วแล้วไปขึ้นรถไฟกัน อ้าว! มีรถจอดทั้งสองฝั่งชานชลาเลย จะขึ้นฝั่งไหนล่ะเนี่ยะ???
เจอเจ้าหน้าที่พอดี ถามซะ อย่ากลัวที่จะถาม เจ้าหน้าที่ก็ใจดีบอกให้ว่าขบวนไหนออก ก็รีบขึ้นไปนั่งด้วยใจระทึก

โล่งมาก ไม่มีผู้ใดเลย นอกจากเราสอง
ฮีทเตอร์อยู่ใต้เบาะ มิน่า อุ่นขาจัง

และแล้วก็มาถึงสถานีอุเอโนะ รีบเดินไปเบิกกระเป๋าจากตู้ล็อคเกอร์ แล้วซื้อตั๋วให้ไว
ต้องซื้อกับเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ เพราะเค้าเตอร์ที่มีเจ้าหน้าที่เขาปิดแล้ว หมดเวลาทำการ

วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง มาถึงชานชลาที่รอรถไฟแล้ว ดูนาฬิกาพบว่า มาถึงก่อนเวลาตั้ง 7 นาทีแน่ะ!!!

ตารางเวลา รถไฟเที่ยวสุดท้ายที่เราเกาะติดมา เพื่อให้ทันไปรถไฟ Access Exp.

เที่ยวสุดท้ายของวันจริงๆแล้วจ้า Access Exp. จาก Ueno ไปสนามบินนาริตะ

เรามาถึงก่อนเวลาตั้ง 7 นาที!!
ลุ้นระทึกเรื่องเวลาการขึ้นรถไฟดีแท้ แต่ก็มาถึงสนามบินนาริตะ (อาคาร2) จนได้
ตอนแรกว่าจะไปขึ้นรถบัสของโรงแรมที่จองไว้ฟรี แต่ยังไม่ได้หาข้อมูลว่าต้องเดินไปตรงไหนยังไงถึงจะเจอรถบัส
อีกทั้งอยากพักก่อน และโรงแรมก็อยู่ห่างจากสนามบินประมาณ 1 กิโลเมตร 
จึงแวะเข้าห้องน้ำ, หาของกินที่เซเว่นในสนามบินก่อน แล้วค่อยเดินไปกันเอง

เมื่อซื้อของกินเสร็จ ก็หันมามองหน้ากันว่า ทางออกสนามบินมันอยู่ตรงไหนล่ะครับ? เจ้าหน้าที่สนามบินก็ไม่รู้อยู่ไหนกัน
ณ เวลานั้นก็จะเที่ยงคืนแล้ว เดินหาทางกันไปแบบงงๆ แต่แล้วก็ออกมาจากอาคารสนามบินจนได้

หาทางออกจากตัวสนามบินได้แล้ว

เดินฝ่าความหนาวตอนเที่ยงคืน มาถึงที่พักจนได้
เดินลากกระเป๋า ท่ามกลางความหนาวไม่ถึงสิบองศา หาโรงแรมเจอแล้ว Narita Rest House Airport
เช็คอินแล้วถามรายละเอียดเรื่องรถบัสฟรีที่จะไปสนามบินตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว
ก็เข้าห้องพัก กินข้าวที่ซื้อจากเซเว่น อาบน้ำ นอน

ตอนเช้าต้องรีบตื่น เพื่อขึ้นรถบัสรอบแรก 6.20น. เพราะเครื่องบินออกเที่ยว 9.15น.
ปิดฉากทริปมั่วๆ ทัวร์แจแปน สองห้าหกศูนย์ เรียบร้อยจ้าาาา

บ๊าย บาย แจแปน มีโอกาส(และตังค์) จะมาอีกนะ ^_^

ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มที่ซื้อกลับมาลองชิม เพราะกระป๋องสวยดี แฮ่ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น